เราควรเรียนรู้จากคุณสมบัติทางกายภาพของก๊าซธรรมชาติ


 - เป็นเชื้อเพลิงปิโตรเลียมชนิดหนึ่ง  เกิดจากการทับถมของสิ่งมีชีวิตนับล้านปี
             - เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน  ประกอบด้วยก๊าซมีเทนเป็นหลัก
             - ไม่มีสีและไม่มีกลิ่น  ดังนั้น  ในการขนส่งหรือในกระบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติจึงต้องมีการเติมสารที่มีกลิ่นลงไป  เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
             - เบากว่าอากาศ  มีค่าความถ่วงจำเพาะ  (Specific  Gravity)  ประมาณ  0.6-0.8  เมื่อรั่วไหลจะลอยขึ้นสู่ที่สูงและฟุ้งกระจายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
             - ติดไฟได้  โดยมีช่วงของการติดไฟที่ 5-15 %  ของปริมาตรในอากาศและอุณหภูมิที่สามารถติดไฟได้เองคือ  537-540  องศาเซลเซียส
             - เป็นเชื้อเพลิงสะอาด  เผาไหม้สมบูรณ์กว่า  จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าเมื่อเปรีบยเทียบกับเชื้อเพลิงปิโตรเลียมประเภทอื่น


ก๊าซธรรมชาติในสถานะต่างๆที่ควรรู้จัก
             -  ก๊าซธรรมชาติที่ขนส่งโดยทางท่อ  เรียกชื่อทางการตลาดว่า Sale  Gas  คือ  ก๊าซธรรมชาติที่มีก๊าซมีเทนเป็นส่วนประกอบหลัก  ถูกขนส่งด้วยระบบท่อเพื่อส่งให้แก่ผู้ใช้ที่เป็นลูกค้านำไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าหรือในโรงงานอุตสาหกรรม
             - ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ( NGV )  คือ  รูปแบบของการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์  ส่วนใหญ่เป็นก๊าซมีเทน  เมื่อขนส่งก๊าซธรรมชาติมาทางท่อจะส่งเข้าสถานีบริการและเครื่องเพิ่มความดันก๊าซ  ณ  สถานีบริการจะรับก๊าซธรรมชาติที่มีความดันต่ำจากระบบท่อมาอัดเพิ่มความดันประมาณ  3,000 – 3,600  ปอนด์ต่อตารางนิ้ว  จากนั้นก็จะสามารถเติมใส่ถังเก็บก๊าซฯของรถยนต์ต่อไป
             - ก๊าซธรรมชาติเหลว   ( LPG )  ในการขนส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตไปยังบริเวณที่ใช้  ปกติจะขนส่งโดยระบบท่อ  แต่ในกรณีที่ระยะทางระหว่างแหล่งผลิตกับบริเวณที่ใช้มีระยะทางไกลเกินกว่า  2,000  กิโลเมตร  การวางท่อส่งก๊าซฯ  จะต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก  จึงมีการขนส่งด้วยเรือที่ถูกออกแบบไว้เฉพาะ  โดยการทำก๊าซธรรมชาติให้กลายเป็นของเหลว  เพื่อให้ปริมาตรลดลงประมาณ  600  เท่า  ด้วยการลดอุณหภูมิให้อยู่ในระดับ  -160  องศาเซลเซียส  ซึ่งจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการขนส่งด้วยระบบท่อ

ก๊าซธรรมชาติใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
             เราสามารถใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติได้ใน  2 ลักษณะใหญ่ๆ  คือ

1.ใช้เป็นเชื้อเพลิง  เราสามารถใช้ก๊าซธรรมชาติได้โดยตรง  ด้วยการใช้เป็นเชื้อเพลิงในรูปแบบต่างๆ  ดังนี้
             -  ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า
             -  ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม
             -  ใช้เป็นเชื้อเพลิงในระบบผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วม  ( Co-generation )
             -  ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ  ที่เรียกว่า  ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์  ( NGV )

2.เป็นวัตถุดิบในการผลิตผผลิตภัณฑ์ต่างๆ  หลังผผ่านกระบวนการแยกในโรงแยกก๊าซฯ  เพราะในตัวเนื้อก๊าซธรรมชาติมีสารประกอบที่เป็นประโยชน์อยู่มากมาย  เมื่อนำมาผ่านกระบวนการที่โรงแยกก๊าซฯ  แล้วก็จะได้ผลิตภัณฑ์ต่างๆมาใช้ประโยชน์ได้



ผลิตภัณฑ์จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ
             ก๊าซมีเทน ( Cl )  :  ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม  และเมื่อนำไปอัดใส่ถังด้วยความดันสูง  จะเรียกว่าก๊าซธรรมชาติอัด  ( CNG )  สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์  รู้จักกันในชื่อว่า  “ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ ”  ( NGV)

             ก๊าซอีเทน ( C2 )  :  ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้น  เพื่อนำไปผลิตเม็ดพลาสติก  เส้นใยสังเคราะห์ชนิดต่างๆ  ก่อนนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ  ต่อไป

             ก๊าซโพรเพน ( C3 ) และก๊าซบิวเทน ( C4 )  :  ก๊าซโพรเพนใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้นได้เช่นเดียวกัน  และหากนำเอาก๊าซโพรเพนกับก๊าซบิวเทนมาผสมกันตามอัตราส่วน  อัดใส่ถังเป็นก๊าซปปิโตรเลียมเหลว  ( LPG )  หรือที่เรียกกว่าก๊าซหุงต้ม  สามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือนเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์  และใช้ในการเชื่อมโลหะได้  รวมทั้งยังนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมบางปประเภทได้อีกด้วย

             ไฮโดรคาร์บอนเหลว  :  อยู่ในสถานะที่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ  ในกระบวนการผลิต  สามารถแยกจากไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นก๊าซบนแท่นผลิต  เรียกว่า  คอนเดนเสท  สามารถลำเลียงขนส่งโดยทางเรือหรือทางท่อน้ำไปกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปต่อไป

             ก๊าซโซลีนธรรมชาติ  :  อยู่ในสถานะที่เป็นของเหลว  แม้จะมีการแยกคอนเดนเสทออกในกรระบวนการผลิตที่แท่นผลิตแล้ว  แต่ก็ยังมีไฮโดรคาร์บอนเหลวบางส่วนหลุดไปกับไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นก๊าซ  เมื่อผ่านกระบวนการแยกจากโรงแยกก๊าซธรรรมชาติแล้ว  ไฮโดรคาร์บอนเหลวนี้ก็จะถูกแยกออก  เรียกว่า ก๊าซโซลีนธรรมชาติ  ( NGL )  และส่งเข้าไปยังโรงกลั่นน้ำมัน  เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเสร็จรูปได้เช่นเดียวกับคอนเดนเสท  และยังเป็นตัวทำละลาย  ซึ่งนำไปใช้ในอุตสาหกรรมบางประเภทได้เช่นกัน

             ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  :  เมื่อผ่านกระบวนการแยกแล้วจะถูกนำไปทำให้อยู่ในสภาพของแข็ง  เรียกว่า  น้ำแข็งแห้ง  นำไปใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหารอุตสาหกรรมน้ำอัดลมและเบียร์  ใช้ในการถนอมอาหารระหว่างการขนส่งนำไปเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำฝนเทียม  และนำไปใช้สร้างควันในอุตสาหกรรมบันเทิง  อาทิ  การแสดงคอนเสิร์ต  หรือการถ่ายทำภาพยนตร์

ระบบผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วม
             ระบบผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วม  (Co-generattion )  คือ  การผลิตพลังงานไฟฟ้า (หรือพลังงานกล)  ร่วมกับพลังงานความร้อน (ก๊าซร้อนของเหลวร้อน  หรือไอน้ำ)  หรือเรียกอีกชื่อได้ว่า  Combined  Heat  and  Power ( CHP )

             จากการวิเคราะห์ทางทฤษฎีและทดลองในทางปฏิบัติแล้วพบว่า  การผผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วมกันนี้  จะมีประสิทธิภาพรวมดีกว่าการผลิตแยกกันมาก




0 comments:

Post a Comment