ก่อนที่เลือกใช้ก๊าซธรรมชาติ เราสามารถรู้ได้ว่าวิธีการใช้ให้มีประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติ

เราสามารถนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้โดยผ่านกระบวนการแยก/แปรสภาพ
ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีโรงแยก/แปรสภาพก๊าซธรรมชาติ 2 แห่งด้วยกันคือ
โครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติของการปิโตรเลียม แห่งประเทศไทย ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง
โครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ต.ท้องเนียน อ.ขนอม
จ.นครศรีธรรมราช


ก๊าซธรรมชาติที่พบในสถานะเป็นก๊าซ เมื่อผ่านการขจัดสารประกอบหรือสารปนเปื้อนที่ไม่ต้องการออกไปแล้ว ก็จะถูกส่งเข้าโรงแยกก๊าซได้ทันที แต่สำหรับก๊าซธรรมชาติที่พบจากแหล่งในสถานะที่เป็นของเหลวนั้น จะต้องผ่านการแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนตัวที่หนัก ๆ (มีคาร์บอนตั้งแต่ C20 ขึ้นไป) ออกมาก่อน โดยอาศัยการควบแน่น (Condense) ของเหลวที่ได้จากกระบวนการนี้จึงมีชื่อเรียกว่า "คอนเดนเสท" (Condensate) ซึ่งสามารถนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป สำหรับก๊าซธรรมชาติส่วนที่เหลือก็จะส่งเข้าโรงแยกก๊าซต่อไป
กระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสม และให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจสูงสุด จะแตกต่างจากกระบวนการกลั่นน้ำมันที่เริ่มต้นการกลั่นด้วยการแยกองค์ประกอบน้ำมันส่วนที่เบาที่สุดออกมาก่อน ขณะที่การแยกก๊าซธรรมชาตินั้น สารประกอบไฮโดรคาร์บอนส่วนที่หนักที่สุดจะถูกแยกออกเป็นลำดับแรก ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงแยกแปรสภาพก๊าซธรรมชาติ สามารถจำแนกตามลักษณะของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่แยกออก และนำไปใช้ประโยชน์ต่อกระบวนการผลิตอื่น ๆ ได้แก่
ก๊าซโซลีนธรรมชาติ หรือ Natural Gasoline (NGL, C5H12) ประกอบด้วย ก๊าซเพนเทน เฮกเซนและสารประกอบตัวอื่น ๆ ที่มีคาร์บอนผสมอยู่ตั้งแต่ C5H12 ขึ้นไป NGL จะนำมากลั่นเป้นน้ำมันเบนซิน (Motor Gassoline) และสำหรับบางส่วนของก๊าซเพนเทน เฮกเซนและเฮปเทน รวมทั้งสารประกอบตัวอื่น ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นของเหลวที่ระเหยได้เร็ว จะแยกส่งให้กับโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นวัตถุดิบสำหรับเป็นตัวทำละลายในการทดลองทางเคมี หรืออุตสาหกรรมสีแลกเกอร์ ทินเนอร์ อุตสาหกรรมยางเป็นต้น
ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือ Liquefied Petroleum Gas (LPG, C3+C4) ประกอบด้วย ก๊าซโปรเพนและบิวเทน เนื่องจากเป็นก๊าซที่ถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้มในอุตสาหกรรมและครัวเรือน จึงถูกทำให้อยู่ในสภาพของเหลวบรรจุในถัง เพื่อความปลอดภัยในการใช้และขนส่ง นอกจากนี้ยังเป็นก๊าซที่มีผู้นิยมใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรมด้วย
ก๊าซบิวเทน (Butane, C4) สามารถแยกไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสารเคมีและพลาสติกบางชนิด เช่น กระเป๋าเดินทาง อุปกรณ์การแพทย์ และยางรถยนต์ ฯลฯ (แต่ปัจจุบันยังไม่มีการแยกก๊าซบิวเทนออกมา)
ก๊าซโปรเพน (Propanne-C3) บางส่วนจะถูกแยกออกมา เพื่อนำมาใช้ผลิตโปรพิลีนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้เช่นกัน เพื่อเป็นสารตั้งต้นในการผลิตเม็ดพลาสติก ที่เรียกว่า Polypropylene ใช้กับอุตสาหกรรมผลิตยางสังเคราะห์ แผ่นฟิล์ม ถุงร้อนใส่อาหาร หรือกระสอบ เป็นต้น
ก๊าซอีเทน (Ethane, C2) จะส่งให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อผลิตเอทิลีนที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตเม็ดพลาสติกชนิดต่าง ๆ รวมทั้งผลิตเอทิลแอลกอฮอล์ หรือเอทานอล ใช้ในการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือเป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมเคมีอื่น ๆ
ก๊าซมีเทน (Methane, C1) องค์ประกอบส่วนใหญ่ของก๊าซธรรมชาตินั้นกว่าครึ่งหนึ่งคือ ก๊าซมีเทนซึ่งนับแต่อดีตถึงปัจจุบันการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยจะส่งก๊าซมีเทนให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานผลิต ปูนซีเมนต์ เซรามิกและบางส่วนก็ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยเคมีเมทิลแอลกอฮอล์
หรือแอมโมเนียม
ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีแหล่งก๊าซของตัวเอง เมื่อแยกก๊าซอื่น ๆ ออกไปแล้วก็จะนำส่วนที่มีปริมาณก๊าซ มีเทนมากนี้มาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ เดิมเรียก ก๊าซธรรมชาติอัด (Compressed Natural Gas 'CNG') แต่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่เป็น ก๊าซธรรมชาติสำหรับ ยานพาหนะ หรือ Natural Gas For Vehicles (NGV) ซึ่งสำหรับในประเทศไทยของเราก็ได้มีมาตรการส่งเสริมให้ใช้พลังงานสะอาดในยานพาหนะ โดยมีการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ดำเนินโครงการทดลองการดัดแปลงเครื่องยนต์เพื่อใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง รายละเอียดของการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้สำหรับยานพาหนะของเราจะเป็นเช่นไร มีผลดี - ผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่อย่างไรนั้น ติดตามได้ในข่าวสารสิ่งแวดล้อมภาคที่ 5 ฉบับต่อไปนะคะ

0 comments:

Post a Comment